มีหลายคนเข้าใจว่า การมี Resume ที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาการทำงาน ทั้งหน้าที่ ประสบการณ์ และความสามารถที่มากมาย จะทำให้มีโอกาสได้เข้าทำงานง่ายขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ Oliver Hahl ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านทฤษฎีองค์กรและกลยุทธ์ มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ได้บอกเอาไว้ว่าการตัดสินใจเลือกผู้สมัครนั้นสำคัญกว่าการพิจารณาจาก Resume
โดยเขาได้ทำการทดสอบจากการให้ผู้สมัครสองคนได้เข้าทำงานด้านการเงินในองค์กรตำแหน่งด้านการเงิน โดยทั้งสองคนมีวุฒิการศึกษาระดับเดียวกัน แต่หนึ่งคนมีประวัติที่ดีเยี่ยม และมีทีมงาน 10 คน ส่วนอีกคนหนึ่งมีทีมงานที่เล็กกว่า
ทว่าผู้จัดการกลับมีแนวโน้มที่จะเสนองานให้กับผู้สมัครที่มีประวัติน่าประทับใจน้อยกว่า โดยเหตุผลก็เพราะผู้สมัครที่มีประวัติและความเป็นมาที่ไม่ได้มากมาย หรือเยอะจนเกินพอดีนั้นจะยึดติดกับการทำงานในองค์กรได้ดีมากกว่า และในทางกลับกันผู้สมัครงานที่มีประวัติบนเรซูเม่ที่น่าประทับใจอาจจะทำให้ผู้บังคับบัญชามีความกังวลว่าเขาจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งได้ ซึ่งนี่ก็คือผลการวิจัยของ Dr. Hahl
แม้ว่าการการมีคุณสมบัติที่มากมายในใบสมัครงาน อาจจะดูเป็นข้ออ้างของคนที่มองหางานในช่วงที่มีอายุมากขึ้น แต่ก็ในกลุ่มคนที่อายุน้อยเองก็ต้องเผชิญหน้ากับกับดักในเรื่องของคุณสมบัติเช่นเดียวกัน
โดยสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้สมัครงานที่มีอายุน้อยก็คือ หลายๆ องค์กรเลือกที่จะว่าจ้างพนักงานใหม่ที่เรียนจบมาจาก โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยชั้นนำเท่านั้น หรือบางครั้งก็ต้องการผู้สมัครที่ผ่านการเรียนในหลักสูตรผู้บริหาร ผู้จัดการ และอีกหลายๆ หลักสูตรมาก่อนด้วย ซึ่งนี่เองที่ทำให้คุณสมบัติของหลายๆ คนต้องตกไปเพราะไม่ได้เรียนมาในสถาบันที่องค์กรคาดหวังนั่นเอง
สิ่งที่ควรมีใน Resume เพื่อบ่งบอกถึงคุณสมบัติที่ดีของคุณกับตำแหน่งงาน
อธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้คุณอยากสมัครงานที่ดูเล็กกว่าประสบการณ์ หรือความสามารถของคุณมีการหาข้อมูลในเชิงลึก ที่จะช่วยให้คุณอธิบายได้ว่า งานนั้นตรงกับประสบการณ์ของคุณอย่างไร? อธิบายเหตุผลของคุณในการสมัครงานอย่างสม่ำเสมอ ตลอดการสัมภาษณ์งานแสดงความเห็นที่เปิดกว้าง และมีความยืดหยุ่นโดยเฉพาะการพูดถึงสิ่งที่คุณต้องการเรียนรู้จากการทำงานมีการแนะนำบุคคลอ้างอิงที่จะรับรองความมุ่งมั่นในการทำงานของคุณมี Connection หรือคนรู้จักที่อยู่ในองค์กรที่คุณต้องการสมัครงาน