ถ้าคุณเคยได้รับการติดต่อจากองค์กรที่สนใจในใบสมัครงาน(หรือประสบการณ์การทำงาน) ของคุณ คุณอาจเคยได้ยินเขาแนะนำตัวเองว่าเป็น HR หรือเป็น recruiter หรือเป็นคนทำ recruitment มาบ้าง
ในโลกของการบริหารทรัพยากรบุคคล คำว่า “HR” และ “Recruitment” อาจถูกใช้สลับกันไปมาตามสถานการณ์ เพื่อสื่อสารให้ผู้รับสารที่อาจจะคุ้นเคยกับคำใดคำหนึ่งมากกว่า แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองคำนี้มีความหมายและบทบาทที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง HR และ Recruitment เพื่อให้เข้าใจบทบาทของทั้งสองฝ่ายได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
HR คืออะไร?
HR หรือ Human Resources เป็นแผนกที่รับผิดชอบดูแลทรัพยากรบุคคลทั้งหมดในองค์กร ตั้งแต่การวางแผนกำลังคน การพัฒนาบุคลากร การจัดการผลประโยชน์และสวัสดิการ ไปจนถึงการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว HR มีบทบาทสำคัญในการสร้างและรักษาวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีให้กับพนักงานทุกคน
Recruitment คืออะไร?
Recruitment หรือ การสรรหาบุคลากร เป็น “กระบวนการ” ในการค้นหา ดึงดูด และคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับตำแหน่งงานที่เปิดรับในองค์กร กระบวนการนี้รวมถึงการประกาศรับสมัครงาน การคัดกรองใบสมัคร การสัมภาษณ์ และการตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุด
ความเหมือน
- เป้าหมายร่วมกัน: ทั้ง HR และ Recruitment มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพให้กับองค์กร
- การทำงานกับคน: ทั้งสองฝ่ายต้องมีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้คน ต้องเข้าใจความต้องการของทั้งองค์กรและพนักงาน
- การวิเคราะห์ข้อมูล: ทั้งสองฝ่ายต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินใจและวางแผนกลยุทธ์
- การสื่อสาร: ทักษะการสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้ง HR และ Recruitment ในการทำงานร่วมกับผู้อื่นทั้งภายในและภายนอกองค์กร
ความแตกต่าง
- ขอบเขตการทำงาน:
- HR: มีขอบเขตการทำงานที่กว้างกว่า ครอบคลุมทุกด้านของการบริหารทรัพยากรบุคคล
- Recruitment: เน้นเฉพาะการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรใหม่
2. ระยะเวลาการทำงาน:
- HR: ทำงานกับพนักงานตลอดวงจรชีวิตการทำงานในองค์กร ตั้งแต่เริ่มงานจนกระทั่งลาออก
- Recruitment: มักจะเกี่ยวข้องกับพนักงานในช่วงก่อนเข้าทำงานและช่วงแรกของการทำงานเท่านั้น
3. ทักษะเฉพาะทาง:
- HR: ต้องมีความรู้ที่หลากหลาย เช่น กฎหมายแรงงาน การพัฒนาบุคลากร การจัดการผลประโยชน์
- Recruitment: ต้องมีทักษะเฉพาะทางในการประเมินผู้สมัคร การสัมภาษณ์ และการเจรจาต่อรอง
4.การวัดผลความสำเร็จ:
- HR: วัดผลจากความพึงพอใจของพนักงาน อัตราการลาออก ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมขององค์กร
- Recruitment: วัดผลจากคุณภาพของการจ้างงาน ระยะเวลาในการเติมตำแหน่งว่าง และความพึงพอใจของหัวหน้างาน
5. การทำงานเชิงรุก vs เชิงรับ:
- HR: มักทำงานในเชิงรุก วางแผนระยะยาวเพื่อพัฒนาองค์กรและบุคลากร
- Recruitment: มักทำงานในเชิงรับ ตอบสนองต่อความต้องการด้านกำลังคนในปัจจุบัน
บทบาทที่ทับซ้อนกันและการแบ่งงาน
ในความเป็นจริง บทบาทของ HR และ Recruitment ไม่ได้แยกขาดจากกันอย่างชัดเจนเสมอไป ในหลายองค์กร เราจะเห็นการทับซ้อนของบทบาทและหน้าที่ระหว่างทั้งสองฝ่าย:
HR ที่ทำหน้าที่ Recruitment: ในองค์กรขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มักพบว่า HR ต้องรับบทบาทในการสรรหาบุคลากรด้วย หรือทำ Recruitment ไปในตัว เนื่องจากไม่มีทีม Recruitment แยกต่างหาก การทำงานแบบนี้ช่วยให้องค์กรประหยัดทรัพยากรและสามารถควบคุมกระบวนการสรรหาบุคลากรได้อย่างใกล้ชิด
Recruitment Agency: ในทางตรงกันข้าม องค์กรขนาดใหญ่หรือองค์กรที่มีความต้องการบุคลากรเฉพาะทางสูง อาจเลือกใช้บริการจาก Recruitment Agency หรือบริษัทจัดหางานมืออาชีพ ซึ่งเชี่ยวชาญในการสรรหาบุคลากรโดยเฉพาะ การใช้บริการ Recruitment Agency ช่วยให้ HR ขององค์กรสามารถโฟกัสกับงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลด้านอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่ เช่น การพัฒนาบุคลากร การจัดการผลประโยชน์ และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร
ข้อดี ของการแยก Recruitment ออกจาก HR (ไม่ว่าจะเป็นการมีทีม Recruitment ภายในหรือใช้บริการ Agency):
- ทำให้แต่ละฝ่ายโฟกัสในส่ิงที่ตัวเองเชี่ยวชาญได้มากขึ้น
- HR สามารถมุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ด้านทรัพยากรบุคคลระยะยาว
- Recruitment สามารถพัฒนาเครือข่ายและเทคนิคการสรรหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การทำงานร่วมกัน: แม้จะมีการแบ่งงานกัน แต่ HR และ Recruitment (ไม่ว่าจะเป็นทีมภายในหรือ Agency) ยังคงต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าบุคลากรที่ได้รับการคัดเลือกตรงกับความต้องการและวัฒนธรรมขององค์กร
ทำไม HR และ Recruitment ถึงต้องทำงานร่วมกัน?
แม้ว่า HR และ Recruitment จะมีบทบาทที่แตกต่างกัน แต่การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร ด้วยเหตุผลดังนี้:
- การวางแผนกำลังคน: HR สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการด้านบุคลากรในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้ Recruitment วางแผนการสรรหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การสร้างแบรนด์นายจ้าง: HR และ Recruitment ต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างและสื่อสารแบรนด์นายจ้างที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยดึงดูดผู้สมัครที่มีคุณภาพ
- การออนบอร์ดพนักงานใหม่: Recruitment จะส่งต่อข้อมูลของพนักงานใหม่ให้กับ HR เพื่อให้กระบวนการออนบอร์ดดำเนินไปอย่างราบรื่น
- การรักษาพนักงาน: ข้อมูลจาก Recruitment เกี่ยวกับความคาดหวังของผู้สมัครสามารถช่วย HR ในการพัฒนากลยุทธ์การรักษาพนักงานที่มีประสิทธิภาพ
- การพัฒนาวัฒนธรรมองค์กร: HR และ Recruitment ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้แน่ใจว่าผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกมีความเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กร
บทสรุป
HR และ Recruitment แม้จะมีบทบาทที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองส่วนล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร HR มุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรบุคคลในภาพรวม ตั้งแต่การวางแผนกำลังคนไปจนถึงการพัฒนาและรักษาพนักงาน ในขณะที่ Recruitment เชี่ยวชาญในการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีศักยภาพเข้าสู่องค์กร
การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกุญแจสู่การสร้างทีมงานที่แข็งแกร่งและวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็กที่ HR ต้องรับบทบาทในการสรรหาบุคลากรด้วย หรือองค์กรขนาดใหญ่ที่มีทีม Recruitment แยกต่างหาก การประสานงานที่ดีระหว่างทั้งสองฝ่ายจะช่วยให้องค์กรสามารถดึงดูด พัฒนา และรักษาบุคลากรที่มีความสามารถได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรง การเข้าใจบทบาทและความสำคัญของทั้ง HR และ Recruitment จะช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
—